นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ถึงค่าเงินบาทที่วันนี้อ่อนค่าไปถึงระดับ37.25 บาทต่อดอลลาร์ทำนิวไฮครั้งใหม่รอบ 16 ปี ว่า การที่บาทอ่อนค่าลงทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้คล่องตัวขึ้นในแง่ของการส่งออกสินค้า แต่ในส่วนของการส่งออกข้าวอยู่ที่ราคาที่ตกลงกันในตอนแรกว่าเป็นอย่างไรแต่ก็ยังดีกว่าบาทแข็งไป 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตามการที่บาทอ่อน 37.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐถ้าอ่อนเกินไปก็ไม่ดีเพราะมีความผันผวนทำให้การตกลงเรื่องราคาแต่ละครั้งของผู้ซื้อมีการต่อรองมากขึ้น เช่น วันนี้บาทอยู่ที่ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ราคาข้าวอยู่ที่ 430 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้ซื้อก็อาจจะต่อรองราคาเหลือ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพราะรู้ว่าค่าเงินบาทต้องอ่อนลงไปอีกทำให้ผู้ส่งออกกำหนดราคาขายค่อยข้างยาก

การที่บาทอ่อนลงเราในฐานะผู้ส่งออกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เพราะถ้าบาทอ่อนมีความผันผวนมากเกินไปก็ไม่ค่อยดีทำให้เราตั้งราคาลำบาก ซึ่งสิ่งที่ผู้ส่ออกต้องการให้บาทอยู่ในระดับที่มีความสเถียรภาพคือ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการที่รัฐบาลออกมา บอกว่าค่าเงินบาทควรอยู่ในระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คงเป็นห่วงเรื่องการนำเข้า ต้นทุนสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นของแพงขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่มีใครคอนโทรลค่าเงินได้ ที่ค่าเงินสหรัฐขึ้นเพราะเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกดเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งก็ส่งผลให้ค่าเงินของประเทศต่างๆอ่อนตัวลง ไม่ใช่เฉพาะไทย อินเดียค่าเงินก็อ่อนเช่นกัน
สำหรับการส่งออกข้าวทั้งปีผู้ส่งออกยังมองว่าน่าจะส่งออกได้8ล้านตัน เกิดกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 7-7.5 ล้านตัน ส่วนหนึ่งเพราะค่าบาทที่อ่อนทำให้สามารถแข่งขันได้ และอินเดียมีการเก็บภาษีส่งออกทำให้ข้าวอินเดียแพงขึ้น 30-40 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลูกค้าก็หันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น โดยราคาข้าว5% ของไทยอยู่ที่ 425 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อินเดีย ราคา 390ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากเดิมราคาอยู่ที่345ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และข้าวเวียดนามราคาอยู่ที่ 410 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน